ปลูกกระเทียม แนะนำการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว
ปลูกกระเทียม
กระเทียม (Garlic) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum อยู่ในวงศ์ Aliaceae เป็นพืชล้มลุกมีหัวอยู่ใต้ดิน รากไม่ยาวนัก ใบมีลักษณะยาวแบน ปลายใบแหลมโคนต้นมีใบหุ้มซ้อนกัน ออกดอกเป็นช่อสีขาว หัวกระเทียมมีกลิ่นหอมฉุน รสชาติเผ็ดร้อน นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารไทยแทบทุกชนิด และยังมีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต มีสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มภูมิต้านทานโรค และช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้นด้วย กระเทียมเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
ฤดูกาลปลูกกระเทียม
กระเทียม สามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี และสภาพภูมิอากาศค่อนข้างหนาวเย็น จึงเหมาะที่จะปลูกในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงเตือนมกราคมถึงเดือนมษายน แหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ทางภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง การปลูกกระทียม แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
- ช่วงที่ 1 ปลูกช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนและเก็บเกี่ยวเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า “กระเทียมดอ” หัวฝอง่ายเก็บได้ไม่นาน นิยมใช้ทำกระเทียมดอง
- ช่วงที่ 2 ปลูกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม (หลังเก็บเกี่ยวข้าว) และเก็บเกี่ยวเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนเรียกว่า “กระเทียมปี” หัวคุณภาพดีเก็บได้นาน นิยมใช้ทำกระเทียมแห้ง โดยทางภาคเหนือนิยมปลูกทั้งสองช่วง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูก ช่วงที่ 2
สายพันธุ์ปลูก
ภาคเหนือนิยมปลูกพันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ เชียงรายและพม่า ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกพันธุ์พื้นเมือง ศรีสะเกษ และภาคกลางนิยมปลูกพันธุ์บางช้าง และพันธุ์จีน หรือไต้หวัน หากแบ่งพันธุ์ตามอายุการเก็บเกี่ยวสามารถแบ่งได้เป็น
- พันธุ์เบา อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 75 – 90 วัน ลำต้นแข็งเหนียวขนาดเล็ก หัวมีขนาดปานกลาง จำนวนกลีบต่อหัวประมาณ 11 – 13 กลีบ แต่ละกลีบมีขนาดเท่ากัน เนื้อในสีขาวbมีกลิ่นฉุนและรสจัด เช่น พันธุ์พื้นเมืองศรีสะเกษ เป็นต้น
- พันธุ์กลาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 90 – 120 วัน ลักษณะลำต้นอวบใหญ่ หัวโตกว่าพันธุ์เบา กสีบมีขนาดแตกต่างกันกลีบชั้นนอกมีขนาดโตกว่ากลีบชั้นใน หัวและกลีบสีม่วง กลิ่นฉุนปานกลาง เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกมาก เช่น พันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น
- พันธุ์หนัก อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 150 วัน ลักษณะลำต้นอวบใหญ่ ใบขนาดใหญ่และหนา หัวขนาดใหญ่ กลีบโตเปลือกหุ้มสีชมพู น้ำหนักดี กลิ่นไม่ค่อยฉุน เช่น พันธุ์จีนหรือไต้หวัน เป็นต้น
การเตรียมพันธุ์กระเทียม
เนื่องจากพันธุ์กระเทียมมักจะมีราคาแพงในช่วงฤดูกาลปลูก ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกกระเทียมเป็นอาชีพควรจะเก็บกระเทียมไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ทำพันธุ์ปลูกในปีต่อไป กระเทียมที่ใช้ทำพันธุ์ต้องแก่จัดและแห้งสนิท เลือกลักษณะที่หัวโต แน่น ไม่ฝ่อไม่มีโรคและแมลง โดยใช้หัวกระเทียมอัตรา 150 – 200 ก็โลกรัมต่อไร่ หรือ 60 – 80 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับกระเทียมที่แกะกลีบแล้ว
การเตรียมดิน
กระเทียมชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี และเป็นกรดอ่อนๆ โดยทั่วไปการเตรียมดินมี 2 แบบ ตามลักษณะการปลูก ดังนี้
- การปลูกแบบยกแปลง การเตรียมดินแบบนี้มักนิยมใช้ในพื้นที่ที่การระบายน้ำไม่ดี โดยใช้แรงคนขุดหรือใช้เครื่องทุ่นแรงไถพรวนแล้วจึงยกแปลงโดยมีร่องน้ำอยู่ข้างแปลง ขนาดแปลงปลูก กว้าง 1 – 2.5 เมตร ระยะระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร
- การปลูกแบบไม่ยกแปลง เป็นการเตรียมดินทั้งผืนปลูกให้เต็มพื้นที่ วิธีนี้มักใช้กับดินร่วน หรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
ควรใส่ปุ๋ยคอกที่แห้งดีแล้ว หรือปุ๋ยหมัก อัตราไร่ละ 1,600 กิโลกรัม เพื่อปรับปรุงสภาพดิน และช่วยให้กระเทียมงอกและแตกกอดีขึ้น
การปลูก
นิยมปลูกด้วยกลีบนอก เพราะจะให้ผลผลิตสูงและหัวขนาดใหญ่ ก่อนปลูกควรรดน้ำให้ดินชื้นแล้วจิ้มกลีบกระเทียมลงดินให้ลีกประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 10 x 10 – 15 เซนติเมตร หากเป็นพันธุ์จีนใช้ระยะปลูก 12 x 12 เชนติเมตร หลังปลูกใช้ฟางคลุมแปลง เพื่อควบคุมวัชพืช รักษาความชื้นของดิน และลดความร้อนของแปลงปลูก
การดูแลรักษา
การให้น้ำ
ควรให้น้ำอย่างสม่ำสมอ โดยให้ครั้งแรกหลังปลูกเสร็จ และให้ครั้งที่สองประมาณ 2 สัปดาห์นับจากครั้งแรก จากนั้นให้ 7 – 10 วันต่อครั้ง หากสังเกตเห็นใบกระเทียมเริ่มเหี่ยวต้องรีบให้น้ำทันที และงดูให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 2 สัปดาห์
การให้ปุ๋ย
ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 50 – 100 กิโลกรัมต่อไร่ ตามความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่หลังจากปลูกเสร็จ และครั้งที่สองใส่เมื่ออายุประมาณ 60 วัน และควรให้ปุ๋ยยูเรีย เพื่อเร่งการเจริญเติบโตหลังปลูกแล้วประมาณ 2 สัปดาห์
การกำจัดวัชพืช
การเตรียมดินที่ดีและการใช้างคลุมแปลงจะทำให้วัชพืชมีโอกาสขึ้นได้น้อย แต่หากมีวัชพืชขึ้นควรกำจัดโดยการถอนตั้งแต่ระยะที่วัชพืชยังไม่โตเพราะจะถอนง่าย และไม่กระทบกระเทือนรากของกระเทียมมาก
การเก็บเกี่ยว
ควรเก็บเกี่ยวกระเทียมในระยะที่แก่จัด อายุประมาณ 100 – 120 วัน ลักษณะคือ ใบแห้งตั้งแต่ปลายใบลงมามากกว่า 30 % ต้นกระเทียมเอนล้มนอนไปกับพื้นดิน 25 % ขึ้นไป จะได้กระเทียมที่มีหัวแกร่ง เก็บได้นาน
วิธีเก็บเกี่ยว
ให้ถอนต้นและวางผึ่งไว้ในแปลงโดยวางสลับให้ใบคลุมหัวป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดดโดยตรง ประมาณ 2 – 3 วัน ระวังอย่าให้ถูกฝน และน้ำค้างในเวลากลางคืน แล้วนำมาผึ่งลมในที่ร่มประมาณ 5 – 7 วัน ให้หัวและใบแห้งดี จากนั้นนำมาคัดขนาดและมัดจุกแล้วนำไปแขวนไว้ในโรงเรือนเปิด หรือใต้ถุนบ้านที่มี การถ่ายเทอากาศดีประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ ให้กระเทียมแห้งสนิท แล้วจึงนำไปเก็บรักษาหรือจำหน่ายต่อไป
โรคที่สำคัญ
- โรคแอนแทรกโนส ลักษณะอาการ ใบมีแผลจุดสีเขียวหม่น ขยายกว้างเป็นวงกลม เนื้อเยื่อบริเวณแผลยุบตัวลง มีจุดสีดำเล็กๆ เรียงซ้อนเป็นวงอยู่ในบริเวณแผลถ้าโรคเกิดรุนแรงแผลจะขยายมาชนกันเป็นแผลใหญ่ทำให้ใบหักพับลงและแห้งตาย ป้องกันกำจัดโดย ก่อนปลูกควรไถพรวนตากดินและปรับปรุงดินด้วยปูนขาว แช่ต้นกล้าหรือหัวพันธุ์ในสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น โพรคลอราช อย่าปล่อยให้น้ำขังในแปลง เก็บส่วนที่เป็นโรคไปทำลายให้ห่างจากแปลงปลูก และปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน เพื่อลดการระบาด
- โรคใบจุดสีม่วง ลักษณะอาการ ใบเป็นแผลรูปร่างคล้ายกระสวยสีม่วงซีดๆ แผลขยายตัวรูปวงรี ตามความยาวใบ ทำให้ใบหักพับและแห้งตาย สาเหตุเกิดจากเชื้อรา ป้องกันกำจัดโดย เลือกพันธุ์ปลูกที่ปราศจากโรคดูแลแปลงปลูกให้สะอาด เก็บส่วนที่เป็นโรคไปทำลาย และควรปลูกพืชอื่นหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรโรค
แมลงศัตรูที่สำคัญ
- ไรขาวหรือไรหอมกระเทียม ดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบพืชทั้งอ่อนและแก่ทำให้ใบยอดพันกัน ป้องกันกำจัดโดย คลุกกลีบกระเทียมด้วยกำมะถันผงก่อนปลูก และหมั่นตรวจดูแปลง หากพบว่ากระเทียมแสดงอาการดังกล่าวให้รีบถอนทิ้ง
- เพลี้ยไฟหอม ดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบ ทำให้เป็นจุดสีขาวซีด บางครั้งใบขีดขาวและเหี่ยวแห้ง ป้องกันกำจัดโดยบำรุงต้นกระเทียมให้แข็งแรง และใช้กับดักกาวเหนียว เพื่อช่วยลดการระบาด
ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ