แนวทางรักษา “โรคลัมปี สกิน” (Lumpy Skin Disease) ระบาดโคกระบือ
โรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease)
“แนวทางรักษา “โรคลัมปี สกิน” (Lumpy Skin Disease) ระบาดโคกระบือ” มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Lumpy skin disease virus เป็นโรคที่เกิดเฉพาะในโค กระบือ ไม่เป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน อัตราการป่วยมากกว่า 5% โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้ก่อโรคตามอวัยวะที่มีเซลล์เยื่อบุ พบตุ่มเนื้อบนผิวหนังและเยื่อเมือกทั่วร่างกาย ซึ่งต่อมาจะตกสะเก็ดและเป็นแผลหลุม สัตว์อาจมีไข้และหายใจลำบากร่วมด้วย โดยในโคนมอาจพบน้ำนมลดลง 25-65เปอร์เซ็นต์ โรคนี้มีแมลงดูดเลือดเช่น เห็บ แมลงวันดูดเลือด และยุงเป็นพาหะแพร่กระจายเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสสัตว์ป่วยโดยตรง ผ่านทางน้ำเชื้อของพ่อพันธุ์ที่เป็นโรค หรือผ่านทางรกได้
ในช่วงที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ได้ประสานหน่วยงานองค์กรภาครัฐเอกชน และมีมาตรการเชิงรุกในการควบคุม ป้องกันในพื้นที่ ในปัจจุบันพบการระบาดของโรคใน 18 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ นครพนม มหาสารคาม ขอนแก่น มุกดาหาร บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี กาญจนบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และเชียงราย ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้โรคแพร่ระบาดไปส่วนใหญ่มาจากการเคลื่อนย้ายสัตว์ ประกอบกับมีแมลงดูดเลือด ได้แก่ ยุง แมลงวัน เหลือบ และเห็บ ที่เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ
กรมปศุสัตว์ออกมาตรการควบคุมโรคลัมปีสกิน
- เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เกษตรกรให้รับรู้ถึงลักษณะของโรคและสถานการณ์การระบาดของโรค ซึ่งหากโคกระบือที่เลี้ยงมีอาการเสี่ยงจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ให้ทราบทันที และหากเกษตรนำสัตว์เข้ามาเลี้ยงใหม่ จะต้องกักแยกสัตว์ออกจากฝูงเป็นเวลา 28 วันเพื่อสังเกตอาการ
- เข้มงวดในเรื่องของการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแหล่งรวมสัตว์ และตลาดนัดค้าสัตว์ รวมไปถึงช่องทางการนำเข้าของสัตว์ตามชายแดน
- ขอความร่วมมือจากผู้จำหน่ายงดการ ซื้อ – ขาย โคกระบือที่มาจากแหล่งที่เกิดโรค หรือพื้นที่ในรัศมี 50 กิโลเมตรรอบจุดเกิดโรค เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อติดไปยังโคกระบือในฝูงอื่น
- ป้องกันและควบคุมแมลงที่เป็นพาหะนำโรค โดยการใช้สารเคมีกำจัดแมลง ในบริเวณที่มีการแพร่ระบาดและจุดเสี่ยง
- ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยาที่จะทำให้โรคนี้หายขาดได้ แต่กรมปศุสัตว์จะรักษาตามอาการป่วย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียของเกษตรกร
แนวทางการรักษาโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) จะเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งอาการของโรคดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะดังนี้
- ระยะที่ 1 มีไข้ โค กระบือ จะซึมไม่กินอาหาร มีไข้อาจมีน้ำตาและน้ำมูกในลูกสัตว์โดยมักจะพบในระยะ 1-2 วันแรกก่อน หรือพร้อมๆ กับการพบว่าสัตว์มีตุ่มขึ้นตามผิวหนัง แต่สัตว์ป่วยบางรายอาจสังเกตไม่พบระยะนี้
- ระยะที่ 2 มีตุ่มที่ผิวหนัง โค กระบือ มีต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนังบวม มีตุ่มแข็งนูนลักษณะคล้ายฝี ขนาดแตกต่างกันที่ผิวหนังทุกชั้นและบางครั้งอาจพบลึกลงไปจนถึงกล้ามเนื้อ ความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับปริมาณการติดเชื้อ ความแข็งแรงของสัตว์ และสายพันธุ์ บางตัวพบอาการบวมน้ำที่บริเวณลำคอ สาเหตุจากหลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) หรือการกดทับของตุ่มที่ผิวหนังหรือต่อมน้ำเหลืองที่บวม ในลูกสัตว์มักจะแสดงอาการมากกว่าสัตว์โต และอาจมีภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ สำหรับกระบือจะพบเป็นตุ่มเล็กๆ ซึ่งสังเกตได้ยากเนื่องจากผิวกระบือมีผิวหนังหนา
- ระยะที่ 3 ตุ่มที่ผิวหนังแตก โดยเริ่มสังเกตพบมีน้ำเหลืองเยิ้มซึมจากตุ่ม มีสะเก็ดหนา เมื่อตุ่มแตกจะเป็นแผลหลุมมีขอบแผลนูนสูง ซึ่งระยะเวลาการแตกของตุ่มผิวหนังจะไม่พร้อมกัน ระยะที่พบขอบตุ่มสีดำพบได้ในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์หลังพบตุ่ม และภายใน 2-3 สัปดาห์จะเกิดเป็นสะเก็ดแผลขึ้น แต่ในบางตัวที่พบกลุ่มที่มีขนาดใหญ่อาจพบว่าสะเก็ดอยู่ได้นาน 1-2 เดือน
- ระยะที่ 4 แผลเริ่มหาย เป็นระยะเริ่มมีการหายของแผล วงแผลจะแคปลงและตื่นขึ้นจนปิดสนิท และสีขนอาจเปลี่ยนไปในช่วงแรก โดยหากสัตว์เข้าสู่ระยะนี้มีความเป็นไปได้ว่าสัตว์ได้รับเชื้อและแสดงอาการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 เดือน
สำหรับแนวทางการรักษานั้น เนื่องจากโรคลัมปี สกิน เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่มียารักษาเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง แต่จะเป็นการรักษาตามอาการ และการบำรุงร่างกายให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง โดยเน้นวิธีการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนในอวัยวะที่มีเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelial cell) เช่น บาดแผลที่ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการรักษาจัดเป็นศาสตร์และศิลป์ และขึ้นอยู่กับเวชภัณฑ์ที่มี โดยสรุปแนวทางการรักษามีดังนี้
ระยะที่ 1 มีไข้
- ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ที่เน้นฤทธิ์ลดไข้ เช่น Dipyrone หรือ Tolfenamic acid หรือ Flunixin meglumine
- ให้วิตามินเพื่อบำรุงให้สัตว์แข็งแรงโดยเฉพาะเป้าหมายที่เซลล์เนื้อเยื่อบุผิว เช่น วิตามิน AD3E แบบฉีดหรือพิจารณาให้วิตามินและแร่ธาตุแบบกิน
ระยะที่ 2 มีตุ่มที่ผิวหนัง
- ให้ยากลุ่ม NSAIDs ที่เน้นฤทธิ์ลดการอักเสบ เช่น Tolfenamic acid หรือ Flunixin meglumine และอาจพิจารณาให้ร่วมในการรักษากรณีที่ลูกสัตว์ที่แสดงอาการทางเดินหายใจ
- ให้วิตามินเพื่อบำรุงให้สัตว์แข็งแรง โดยเฉพาะอวัยวะเป้าหมายที่เซลล์เนื้อเยื่อบุผิว เช่น วิตามิน AD3E แบบฉีด หรือพิจารณาให้วิตามินและแร่ธาตุแบบกิน
- ให้วิตามินเพื่อบำรุงให้สัตว์แข็งแรงโดยเฉพาะอวัยวะเป้าหมายที่มีเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว เช่น AD3E แบบฉีด หรือพิจารณาให้วิตามินและแร่ธาตุแบบกิน
ระยะที่ 3 ตุ่มที่ผิวหนังแตก
- ให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างและออกฤทธิ์ได้ดีที่ผิวหนัง เช่น กลุ่ม Penicillin
- ยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่และยาป้องกันแมลงตอมวางไข่ที่แผล เช่น การใช้ Gentian violet ร่วมกับยาผงโรยแผลป้องกันแมลงวันหรือยาสมุนไพรทากีบ
- ใช้ยากลุ่ม NSAIDs ที่เน้นออกฤทธิ์ลดการอักเสบ เช่น Tolfenamic acid หรือ flunixin meglumine กรณีที่ลูกสัตว์มีอาการทางเดินหายใจ อาจพิจารณาให้ยาลดการอักเสบ flunixin meglumine (เพื่อช่วยลดผลกระทบจาก endotoxin จากการติดเชื้อแบคทีเรีย)
- ให้วิตามินเพื่อบำรุงให้สัตว์แข็งแรง โดยเฉพาะอวัยวะเป้าหมายที่มีเซลล์เยื่อบุผิว เช่น AD3E
ระยะที่ 4 แผลเริ่มหาย
- ยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่และยาป้องกันแมลงวันตอมวางไข่ที่บริเวณแผล เช่น การใช้ Gentian violet ร่วมกับยาผงโรยแผลป้องกันแมลงวันหรือยาสมุนไพรทากีบ
- ให้วิตามิน AD3E และในกรณีแม่พันธุ์ที่ใกล้หายแล้วให้แร่ธาตุซิลิเนียม เพื่อช่วยเสริมสุขภาพของระบบสืบพันธุ์และการทำงานของเม็ดเลือดขาว
หมายเหตุ : การรักษาให้พึ่งระวังผลข้างเคียงและฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ของยาแต่ละชนิด โดยเฉพาะยากลุ่ม NSAIDs การใช้ติดต่อกันนานๆ จะก่อให้เกิดความระคายเคืองในทางเดินอาหาร และเป็นอันตรายต่อตับและไต รวมทั้งข้อจำกัดการใช้ Tolfenamic acid ในสัตว์อายุน้อยและไม่ควรใช้ในสัตว์ท้อง และให้มีการงดส่งนมหรือบริโภคตามระยะการตกค้างของยาในเอกสารกำกับยา
Cr: รอน เทิดพงศ์
ขอบคุณ : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ ,กรมปศุสัตว์, Website – ปศุสัตว์นิวส์
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ