ปลูกบัวหิมะ พืชมหัศจรรย์ วิธีการปลูกและดูแล
ปลูกบัวหิมะ (Smallanthus sonchifolius )
บัวหิมะ หรือ ผลบัวหิมะ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Smallanthus sonchifolius ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Yacon หรือภาษาจีน เรียกว่า เสวี่ยเหลียนกว่อ เป็นพืชใต้ดิน มีต้นกำเนิดใน ประเทศแถบอเมริกาใต้ อยู่ในวงศ์เดียวกับดอกทานตะวัน มีลักษณะต้นคล้ายกับมันเทศ ความสูงของต้น 2-3 เมตร ลักษณะดอกคล้ายกับดอกเดซี่ มีกลีบดอกเล็ก ๆ สีเหลืองประมาณ 14-15 กลีบ ในแต่ละต้นเมื่อโตเต็มที่จะมีดอกประมาณ 4-5 ดอก
บัวหิมะ เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ แต่ถ้าดินสมบูรณ์ก็จะทำให้ ได้ผลผลิตที่ดี
วิธีการตัดแบ่งหน่อบัวหิมะ
สำรวจตาของบัวหิมะ และวางแนวตัดเพื่อไม่ให้ตาเสียหาย โดยตัดบริเวณส่วนที่เป็นรอยเว้า ซึ่งเป็นบริเวณที่มีตาน้อย ทำให้ตัดได้ง่ายขึ้น โดย 1 หน่อ จะตัดได้กี่ส่วนนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนและความสมบูรณ์ของตาหน่อด้วย
การเตรียมดิน ปลูกบัวหิมะ
วัสดุปลูกที่ดี จะทำให้บัวหิมะเจริญเติบโต และให้ผลผลิตที่ดี มีสูตรผสมดินปลูก ดังนี้
- ดินร่วน 1 ส่วน
- ขุยมะพร้าว 1 ส่วน
- ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
- แกลบดิบ 1 ส่วน (ใช้แกลบดิบเก่า) นำมาผสมคลุกเคล้ากันให้ทั่ว
วิธีปลูกบัวหิมะง่ายๆ ดังนี้
- พรวนดิน และตากดินก่อนปลูก ประมาณ 1 สัปดาห์
- เพาะหน่อในกระถาง หรือ ปลูกลงแปลง โดยใช้ฟางคลุมหน้าดิน
- รดน้ำให้ชุ่ม เช้า-บ่าย
- กรณีเพาะหน่อในกระถาง เมื่อหน่อเริ่มแตกใบได้ 4-5 ใบ ประมาณ 30-45 วัน จึงย้ายมาปลูกใน กระถางใหญ่ หรือ แปลงที่เตรียมไว้ใช้ฟางคลุมหน้าดิน สามารถใส่ปุ๋ยคอก เพื่อต้นเจริญเติบโต
- ปลูก ประมาณ 5 เดือน จะเริ่มให้หัว ลดการใส่ปุ๋ย หรือปุ๋ยคอก
- ประมาณ เดือนที่ 7-8 เริ่มเก็บหัวได้ (สังเกตุจากดอกที่เหี่ยว)
การดูแลรักษาโรคและแมลง
บัวหิมะ เป็นพืชที่มีโรคแมลงน้อย หรือไม่มีเลย หากมีหนอนหรือแมลงเข้ามาทำลายดอกหรือใบ สามารถใช้สารสกัด สะเดา เพื่อกำจัดได้ และให้ตากดินก่อนจะทำการปลูกบัวหิมะ เพื่อป้องกันแมลงในดิน หากพบมีแมลงในดิน แนะนำให้ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรของแมลง
ฤดูปลูกและเก็บเกี่ยวบัวหิมะ
บัวหิมะเป็นพืชที่มีน้ำสะสมมาก หากโดนฝนอาจทำให้หัวเน่าได้ แนะนำให้เก็บหัวในช่วงนอกฤดูฝน หรือ ปลูกฤดูฝน แล้วเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาว หรือ ปลูกปลายฝน เก็บเกี่ยวก่อนเข้าฤดูฝน
ประโยชน์บัวหิมะ
บัวหิมะเป็นพืชที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยประโยชน์ของบัวหิมะมีดังนี้
- ช่วยในการลดน้ำหนัก
น้ำตาลจากธรรมชาติของบัวหิมะมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ โดยการศึกษาในปี 2009 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ Clinical Nutrition เผยว่า ผู้หญิงที่รับประทานน้ำเชื่อมบัวหิมะในปริมาณ 0.14-0.29 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกันอย่างน้อย 120 วัน จะทำให้น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย และรอบเอวลดลง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าน้ำเชื่อมบัวหิมะจะเข้าไปสร้างความรู้สึกอิ่มให้กับร่างกาย ช่วยให้ความอยากอาหารลดลง
- ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
ในบัวหิมะมีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (Fructooligosaccharide) มีคุณสมบัติในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี โดยการศึกษาในปี 2011 ซึ่งตีพิมพ์ใน Chemico-Biological Interactions พบว่า หนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อได้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของบัวหิมะติดต่อกันทุกวัน ระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี มีอัตราลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการศึกษากับมนุษย์อันแสดงให้เห็นว่า การรับประทานบัวหิมะเป็นประจำจะช่วยลดไขมันทั้งสองชนิดได้เช่นกัน และเมื่อระดับไขมันทั้งสองชนิดนี้ลดลง ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดก็จะลดลงตามไปด้วย
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด
แม้ว่าบัวหิมะจะมีรสชาติหวาน แต่รสชาติหวานนี้ก็มาจากอินูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ โดยมีการศึกษาพบว่า อินูลินเป็นสารที่ส่งผลดีต่อการทำงานของอินซูลินในร่างกาย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การรับประทานบัวหิมะเป็นประจำจะสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อีกทั้งระดับความหวานของบัวหิมะยังน้อยกว่าระดับความหวานของน้ำตาลกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าบัวหิมะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกลัวเรื่องระดับน้ำตาล
- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิต
บัวหิมะเป็นพืชที่ขึ้นชื่อว่าดีกับสุขภาพหัวใจ เพราะในบัวหิมะมีระดับโพแทสเซียมสูง โดยโพแทสเซียมมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยผ่อนคลายระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ลดความดันโลหิต และทำให้ความเสี่ยงโรคหัวใจลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยได้อีกต่างหาก อีกทั้งโพแทสเซียมในบัวหิมะยังช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายร่วมกับโซเดียม แต่ทั้งนี้ก็ควรบริโภคอาหารที่มีโซเดียมอย่างพอเหมาะด้วย
- ต้านมะเร็ง
การศึกษาในปี 2011 ในวารสารทางวิชาการ Fitoterapia พบว่า บัวหิมะมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต ยับยั้งการแพร่กระจาย และการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้ ทำให้ความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคมะเร็งของเลือดทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ โรคมะเร็งไขกระดูก โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวลดลง อีกทั้งในบัวหิมะยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายจนเกิดการอักเสบต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้
- ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
นอกจากจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายแล้ว จากการศึกษาในปี 2008 ยังพบว่า การรับประทานบัวหิมะควบคู่กับสารไซลิมาริน (Silymarin) จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่มีการเผาผลาญของร่างกายผิดปกติจนทำให้อ้วนลงพุงได้อีกด้วย โดยในการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เมื่ออาสาสมัครรับประทานบัวหิมะวันละ 2.4 กรัม และสารไซลิมาริน (Silymarin) วันละ 0.8 กรัม ติดต่อกัน 90 วัน ระดับของคอเลสเตอรอลลดลง และปริมาณไขมันสะสมในตับก็ลดลงด้วย ทำให้ความเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับลดลง
- สร้างเสริมระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก
โพรไบโอติกส์ในบัวหิมะเป็นแบคทีเรียชนิดที่ดีต่อร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ทำให้อาการท้องผูก ท้องอืด และปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายต่าง ๆ ที่่อาจนำมาสู่การเกิดเนื้องอกในกระเพาะอาหารหรือโรคมะเร็งลำไส้ลดลงได้ ขณะที่ไฟเบอร์ในบัวหิมะก็ยังช่วยสร้างเสริมระบบขับถ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย ได้ประโยชน์หลายต่อแบบนี้ต้องหามาลองกันแล้วล่ะ
ลิ้มชิมรสได้นะคะ แต่ก็มีข้อควรระวังเพราะเจ้าพืชชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ ดังนั้นหากเคยมีประวัติการแพ้พืชกินหัว อย่างเช่น มันฝรั่ง ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าจะแพ้หรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : health.kapook.com, en.wikipedia.org, cheewajit.com
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง :