ปลูกข่าเหลืองเงินแสน พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ในอีสาน
ปลูกข่าเหลืองเงินแสน พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ในอีสาน
ปลูกข่าเหลืองเงินแสน พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ในอีสาน “ข่า” นับเป็นพืชคู่ครัวของคนไทยทุกภาค เพราะข่าเป็นพืชเครื่องเทศที่ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติของอาหารให้อร่อย น่าทาน ข่าจึงเป็นส่วนประกอบในอาหารหลากหลายชนิด นอกจากแต่งเติมรสชาติความอร่อยแล้วข่ายังมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ อีกด้วย หลายพื้นที่จึงมีการปลูกข่าเพื่อป้อนตลาดที่มีความต้องการสูงอยู่ นอกจากข่าจะเป็นพืชที่มีความต้องการบริโภคสูงแล้ว ข่ายังมีข้อดีตรงที่ปลูกและดูแลง่าย
ขั้นตอนการเตรียมดิน
- ไถผาน3 ตากดิน จนแห้งใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์
- ตามด้วยไถผาน5 ตากดิน จนแห้งใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์
- ให้หว่านขี้หมูหรือขี้วัวทั่วแปลงปริมาณ 40ถุงปุ๋ยต่อไร่
- ใช้โรตารี่ปั่นให้เข้ากัน…ยกร่อง…ปลูกใต้ร่องหรือบนร่องตามเหมาะสม
การเตรียมเหง้าปลูก
วิธีการปลูกพันธุ์ข่าเหลืองและดูแลรักษา
- ขุดหลุมระยะห่างประมาณ 80×80เซนติเมตรเพื่อให้ขยายได้เต็มที่
- ขุดหลุมปลูกประมาณ1ฝ่ามือไม่ให้ลึกเกินไป
- รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ปริมาณที่เหมาะสม(รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามในเพจได้)
- นำข่าเหลืองลงปลูก ดินกลบ ใช้ฟางหรือเศษวัชพืชแห้งคลุมหน้าดิน
- รดน้ำให้ชุ่ม ตลอดภายใน 1 เดือน ข่าเหลืองจะเริ่มแตกหน่อ
- กำจัดวัชพืชโดยไม่ใช้สารเคมี
- ให้ปุ๋ยช่วงเดือนที่ 3 และ 6
- ตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไปใช้ยากันเชื้อราและใช้สารบำรุงทางใบ จนกระทั่งเก็บเกี่ยว
การขุดข่าขาย จะเริ่มขุดได้เมื่ออายุ 6 เดือน ข่าที่ขุดตอนนี้ถือเป็นข่าอ่อนซึ่งก็เป็นข่าที่เราทานกันอยู่ทั่วไปนั่นเอง หากขุด 8 เดือนขึ้นไปจะถือเป็นข่าแก่ ความอร่อยจะน้อยกว่าข่าอ่อน โดยข่า 1 กอ จะมีประมาณ 25 ต้น เวลาขุดจะขุดออกเหลือกอละ 5 ต้นเพื่อให้ข่าเติบโตและให้ผลผลิตรุ่นต่อไป การขุดข่าขายหลังจากขุดแล้วจะนำมาล้าง ตัดแต่งรากที่แง่งออกให้หมด ตัดต้นให้เหลือประมาณ 1 คืบ ผึ่งให้แห้ง แพ็คใส่ถุงๆละ 1 กก. 20 กก. 25 กก. 30 กก.
การขุดขึ้นมาแต่ละครั้ง ไม่ควรขึ้นขึ้นมาหมดทั้งกอ ให้เหลือไว้ 3-4 แง่ง เพื่อเป็นต้นพันธุ์ ซึ่งทำให้การปลูกข่าเพียงครั้งเดียว ก็สามารถอยู่ได้เป็นสิบปี และหลังจากที่ขุดเอาหัว แง่งไปแล้ว ควรมีการปรับปรุงบำรุงดินทุกครั้ง เพื่อความสมบูรณ์และเป็นการเพิ่มธาตุอาหารในดิน
ตลาดการรับซื้อข่าเหลือง
หากมีระบบจัดการที่ดี ข่าเหลือง 1 กอ จะให้ผลผลิตประมาณ 2-3 กิโลกรัม จำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่า 60 บาท/กอ หักค่าใช้จ่ายแล้วเกษตรกรจะมีรายได้ 150,000-200,000 บาท/ไร่
ราคาข่าเหลืองที่ขายกันทั่วไป ราคาเหมาหน้าไร่ตันละ 40,000 บาท ราคาหน้าตลาดตันละ 60,000 บาท 1 ไร่จะให้ผลผลิตประมาณ 3.5-4 ตัน สำหรับตลาดของ ข่าเหลืองนั้นก็จะมีตลาดรองรับค่อนข้างกว้าง เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภคโดยเฉพาะในเขตภาคอีสานและภาคใต้ รวมทั้งโรงงานผลิตพริกแกงจะนิยมข่าเหลือง แม่ค้าที่มาซื้อเข้าโรงงานก็จะมีทั้งส่งโรงงานพริกแกง โรงงานบะหมี่สำเร็จรูปหรือมาม่า รวมทั้งส่งออกต่างประเทศด้วย และในปัจจุบันก็เป็นที่นิยมแก่เกษตรกรทางภาคอีสานทำให้มีการปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากและทนแล้งได้ดี
ช่องทางการจัดจำหน่าย
-
มีตลาดรองรับเพราะมีหน่วยงานราชการมีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกและรับซื้อตลอด
- รับซื้อและขายผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ Facebook , Line , Web , IG
ประโยชน์ของข่าเหลือง
1. ใช้ประกอบอาหาร
ข่านิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสอาหาร แต่งกลิ่น หรือดับคาว เป็นส่วนผสมของเครื่องต้มยำและพริกแกงชนิดต่างๆ โดยใช้ส่วนต่างๆ เช่น เหง้าอ่อน เหง้าแก่ แกนลำต้นเทียม และช่อดอกอ่อน
– เหง้าแก่นิยมนำมาบดให้ละเอียดเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของพริกแกง
– เหง้าแก่ และเหง้าอ่อน นิยมใส่ในอาหารประเภทต้มหรือแกง เพื่อใช้ลดกลิ่นคาวของอาหาร เช่น ต้มยำ และแกงป่า ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมฉุน และเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้แก่อาหาร
– แกนลำต้นเทียม ช่อดอกอ่อน และเหง้าอ่อน นิยมนำมาบริโภคโดยตรงเป็นผักลวกรับประทานร่วมกับน้ำพริก
– แกนลำต้นเทียมที่อ่อน นิยมนำมาประกอบอาหารประเภทผัด เช่น ผัดเผ็ดหมูป่า ผัดเผ็ดปลาดุก ผัดเผ็ดไก่ เป็นต้น
2. ทางอุตสาหกรรมอาหาร
สารสกัดฟีนอลลิกมักใช้ในการถนอมผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ป้องกันการบูดเน่า การเหม็นหืน สามารถยืดอายุการเก็บรักษาที่ 4°C ผงจากเหง้าข่าแห้ง และสารสกัดจากเหง้าข่า ใช้ผสมกับเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมูบดสุกบรรจุถุง จะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาได้นานขึ้น ลูกชิ้นหมูที่เติมสารสกัดจากเหง้าข่า สามารถยืดอายุการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4°C ได้เป็นเวลา 10 วัน นอกจากนี้การใช้ผงข่าผสมในการทำขนมปัง เค้ก จะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้นานมากกว่า 6 วัน
3. ประโยชน์ใช้สอย
– ใบ ใช้เป็นวัสดุห่อขนม ของหวาน หรือรองอาหาร
– ลำต้นหรือกาบใบ ใช้ทำเป็นเชือกรัดของ
– ใช้เป็นส่วนผสมของสารกำจัด และป้องกันศัตรูพืช
โรคที่สำคัญของข่าเหลือง
โรคหัวเน่า (Phytophthora Root Rot หรือ Wet Rot) เชื้อสาเหตุคือ Phytophthora drechsleri เชื่อโรคนี้จะเกิดในระยะกล้าและลงหัวแล้ว มักจะพบในบริเวณที่ดินมีระบบน้ำยาก และอยู่ใกล้กับทางน้ำหรือคลองโรคนี้อาจทาความเสียหายถึง 80 เปอร์เซ็นต์
ลักษณะอาการถ้าเกิดกับต้นยังเล็กอยู่จะทำให้รากเป็นรอยช้ำสีน้ำตาลและเน่า ต้นจะเหี่ยวเฉา ถ้าเกิดกับหัวจะทำให้หัวเน่าอย่างรวดเร็ว และมีกลิ่นเหม็น ใบเหี่ยวแล้วร่วงถ้าเกิดรุนแรงต้นจะตาย
การป้องกันกำจัด
– การเตรียมแปลงปลูก ควรจะเป็นดินร่วนมีการระบายน้ำดี ไม่ควรเป็นที่เคยมีน้ำท่วม ขังหรือใกล้ทางระบายน้ำ หากดินระบายน้ำยาก ควรปลูกโดยวิธียกร่อง
– ทำความสะอาดแปลงก่อนปลูกโดยการทำลายเศษพืชที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค
– คัดเลือกท่อนพันธุ์ที่สมบูรณ์และปราศจากโรค
ข้อควรระวัง
4. ผู้ป่วยนิ่วในถุงน้ำดีควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากขิงมีฤทธิ์ในการขับน้ำดี